ก่อนจะพูดถึง การทำ SEO ต้องเข้าใจก่อนว่าการทำการตลาดผ่าน Search Engine Marketing นั้น ตอนนี้ยังมีความสำคัญ และได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง หากแต่กลยุทธอาจจะแตกต่างกันบ้าง เมื่อต้องถูกเปรียบเทียบกับ Social Networks อย่าง Facebook Ads แนะนำกันก่อนว่า Search Engine Marketing คือการทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา ซึ่งการตลาดที่ว่าก็จะแบ่งย่อยออกมาเป็นสองส่วนก็คือ 1. PPC ( Pay Per Click ) อย่าง Google Adwords และ 2. SEO ( Search Engine Optimization ) ซึ่งทั้งสองอย่างก็จะมีข้อดี ข้อเสีย แตกต่างกันออกไป ดังนั้นนักการตลาดที่จะนำไปใช้ ต้องมีการศึกษาประโยชน์ของมันแต่ละอย่างพอสมควร
PPC หรือ Google Adwords จาก Google นั้น จะเป็นการลงโฆษณากับทาง Google ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการตั้งค่าแคมเปญต่าง ๆ ประมาณ 20 นาที เพียงเท่านี้โฆษณาของคุณก็จะสามารถปรากฏอยู่บน Search Engine ได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่จะมีค่าใช้จ่ายทุกครั้ง ที่มีคนคลิกโฆษณาเข้ามาดูเว็บไซต์ของคุณ ด้วยเหตุนี้นักการตลาดที่ใช้วิธีการโปรโมทเว็บไซต์ผ่าน PPC ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้ประกอบการที่ไม่มีความรู้ด้านนี้ก็จะจ้างเอเจนซี่ หรือผู้ให้บริการ Google Adwords จัดทำให้ โดยเสียค่าใช้จ่ายเป็นสองส่วน คือ 1.ค่างบประมาณที่ต้องจ่ายให้กับทาง Google ตามจริง และ 2. ค่าบริการดูแลแคมเปญรายเดือน ( บางที่มีค่าบริการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย )
ดังนั้นข้อดีก็คือสามารถเผยแพร่โฆษณาทันทีเมื่อตั้งค่าแคมเปญเสร็จสิ้น แต่ข้อเสียก็มี คือเสียค่าใช้จ่ายต่อคลิก และอีกทั้งจะต้องทำการประมูลตำแหน่ง หรือที่เรียกว่าบิดแข่งกันกับคู่แข่งรายอื่นในธุรกิจเดียวกันอีกด้วย ดังนั้นก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ทีนี้ก็ลองมาดูฝั่ง SEO กันบ้าง ว่าจะมีข้อแตกต่างกันอย่างไร
SEO หรือ Search Engine Optimization จะเป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้ติดอันดับคำค้นหา โดยเว็บไซต์ของเราจะต้องขึ้นอันดับต้น ๆ ในหน้าแรก ๆ ซึ่งจะเป็นส่วนของ Natural Result คือผลลัพท์การค้นหาแบบปกติ ซึ่งก็จะมีอัลกอริทึ่มควบคุมและให้คะแนนในส่วนนี้ด้วย ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ทำเองไม่ได้ จึงต้องว่าจ้าง บริษัทรับทำ SEO ดำเนินการจัดทำให้ ดังนั้นค่าใช้จ่ายจะเสียแบบเหมา คือครั้งเดียว จนกว่าจะจบสัญญา เช่น ทำให้ติดอันดับภายใน 3 เดือน เมื่อติดอันดับแล้วจะเริ่มนับรักษาอันดับให้อีก 5 เดือน อันนี้ก็แล้วแต่บริษัท หรือผู้ให้บริการ รับทำ SEO ข้อดีที่มองเห็นคือเรื่องของค่าใช้จ่าย ที่เสียครั้งเดียว ถ้าหากติดแล้ว และติดตลอดสัญญาจะพบว่าดีมาก ข้อเสียก็คือ ยังมีปัจจัยอีกมากที่ควบคุมไม่ค่อยได้ และปัญหาการเกิดอันดับตก ก็ยังจะคงได้พบเห็นอยู่นั่นเอง
ดังนั้น การทำ SEO และ Google Adwords หรือ PPC ก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน นักการตลาดควรจะเริ่มทำการศึกษา เพื่อให้มองเห็นภาพรวมของการใช้งานสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อใช้สำหรับการวางแผนและกำหนดกลยุทธให้กับธุรกิจของเราต่อไป ควรศึกษาเรื่อง ทำ SEO ให้มากขึ้นนะครับ
PPC หรือ Google Adwords จาก Google นั้น จะเป็นการลงโฆษณากับทาง Google ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการตั้งค่าแคมเปญต่าง ๆ ประมาณ 20 นาที เพียงเท่านี้โฆษณาของคุณก็จะสามารถปรากฏอยู่บน Search Engine ได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่จะมีค่าใช้จ่ายทุกครั้ง ที่มีคนคลิกโฆษณาเข้ามาดูเว็บไซต์ของคุณ ด้วยเหตุนี้นักการตลาดที่ใช้วิธีการโปรโมทเว็บไซต์ผ่าน PPC ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้ประกอบการที่ไม่มีความรู้ด้านนี้ก็จะจ้างเอเจนซี่ หรือผู้ให้บริการ Google Adwords จัดทำให้ โดยเสียค่าใช้จ่ายเป็นสองส่วน คือ 1.ค่างบประมาณที่ต้องจ่ายให้กับทาง Google ตามจริง และ 2. ค่าบริการดูแลแคมเปญรายเดือน ( บางที่มีค่าบริการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย )
ดังนั้นข้อดีก็คือสามารถเผยแพร่โฆษณาทันทีเมื่อตั้งค่าแคมเปญเสร็จสิ้น แต่ข้อเสียก็มี คือเสียค่าใช้จ่ายต่อคลิก และอีกทั้งจะต้องทำการประมูลตำแหน่ง หรือที่เรียกว่าบิดแข่งกันกับคู่แข่งรายอื่นในธุรกิจเดียวกันอีกด้วย ดังนั้นก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ทีนี้ก็ลองมาดูฝั่ง SEO กันบ้าง ว่าจะมีข้อแตกต่างกันอย่างไร
SEO หรือ Search Engine Optimization จะเป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้ติดอันดับคำค้นหา โดยเว็บไซต์ของเราจะต้องขึ้นอันดับต้น ๆ ในหน้าแรก ๆ ซึ่งจะเป็นส่วนของ Natural Result คือผลลัพท์การค้นหาแบบปกติ ซึ่งก็จะมีอัลกอริทึ่มควบคุมและให้คะแนนในส่วนนี้ด้วย ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ทำเองไม่ได้ จึงต้องว่าจ้าง บริษัทรับทำ SEO ดำเนินการจัดทำให้ ดังนั้นค่าใช้จ่ายจะเสียแบบเหมา คือครั้งเดียว จนกว่าจะจบสัญญา เช่น ทำให้ติดอันดับภายใน 3 เดือน เมื่อติดอันดับแล้วจะเริ่มนับรักษาอันดับให้อีก 5 เดือน อันนี้ก็แล้วแต่บริษัท หรือผู้ให้บริการ รับทำ SEO ข้อดีที่มองเห็นคือเรื่องของค่าใช้จ่าย ที่เสียครั้งเดียว ถ้าหากติดแล้ว และติดตลอดสัญญาจะพบว่าดีมาก ข้อเสียก็คือ ยังมีปัจจัยอีกมากที่ควบคุมไม่ค่อยได้ และปัญหาการเกิดอันดับตก ก็ยังจะคงได้พบเห็นอยู่นั่นเอง
ดังนั้น การทำ SEO และ Google Adwords หรือ PPC ก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน นักการตลาดควรจะเริ่มทำการศึกษา เพื่อให้มองเห็นภาพรวมของการใช้งานสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อใช้สำหรับการวางแผนและกำหนดกลยุทธให้กับธุรกิจของเราต่อไป ควรศึกษาเรื่อง ทำ SEO ให้มากขึ้นนะครับ